ความแตกต่างระหว่างคาร์บอนเครดิต กับ ใบรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียน (RECs)
คาร์บอนเครดิต กับ ใบรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียน (RECs)
…แตกต่างกันอย่างไร ?….
สำหรับการนำไปชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กร
.
ปัจจุบัน ยังเกิดความสับสนในเรื่องการชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Offsets) โดยใช้คาร์บอนเครดิตจากโครงการลดก๊าซเรือนกระจกต่างๆ กับ Renewable Energy Certificates (RECs) อยู่เป็นวงกว้าง อย่างไรก็ตาม แนวทางทั้งสองจะมีต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทั้งนี้ องค์กรที่ต้องการจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก มีทางเลือกที่จะลดผลกระทบที่หลากหลายกิจกรรมเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรงและทางอ้อม เช่น มาตรการประหยัดพลังงาน มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน รวมถึงการใช้พลังงานทดแทน ซึ่งหากทราบถึงความแตกต่างดังกล่าวจะเป็นสิ่งสำคัญต่อการตัดสินใจว่าทางเลือกทั้งสองสิ่งมีประโยชน์ต่อองค์กรของท่านอย่างไร
.
“คาร์บอนเครดิต”
คือ ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลด/กักเก็บได้จากการดำเนินโครงการลดก๊าซเรือนกระจกผ่านกลไกหรือมาตรฐานการลดก๊าซเรือนกระจกต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น CDM, T-VER, VCS, GS โดยมีหน่วยเป็นตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO2eq) และสามารถนำคาร์บอนเครดิตไปแลกเปลี่ยนหรือซื้อ-ขายเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ได้ ไม่ว่าจะเป็นการนำปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดได้จากการดำเนินงานไปรายงานหรือเปิดเผยข้อมูล การนำไปใช้ชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากองค์กร บุคคล งานบริการ หรือจากการผลิตผลิตภัณฑ์ต่างๆ
.
“ใบรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียน” (REC)
คือ กลไกที่ช่วยให้ผู้ผลิตและผู้ใช้ไฟฟ้าสามารถอ้างสิทธิ์การผลิตและการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ด้วยการรับรองจากหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายจากเจ้าของกลไก ช่วยสนับสนุนให้เกิดการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนผ่านการซื้อและขายใบรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียน ทำให้ผู้ลงทุนพัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียนสามารถสร้างรายได้เพิ่มจากการขายใบรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียน โดยมีหน่วยการซื้อขายคือ REC ซึ่งคำนวณจากการผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนจริง (ไฟฟ้า 1 MWh มีค่าเท่ากับ 1 REC)
.
โดยการใช้งานคาร์บอนเครดิตเป็นไปในเป้าหมายของการอ้างสิทธิ์การลด/ดูดซับ ก๊าซเรือนกระจก หรือ สนับสนุนให้เกิดการลด/ ดูดซับก๊าซเรือนกระจก ซึ่งการซื้อคาร์บอนเครดิตจะทำให้องค์กรสามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่าการลดก๊าซเรือนกระจกด้วยตนเอง และสามารถทำการชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ “คาร์บอนนิวทรัล” ได้
.
ขณะที่ การใช้งาน ใบรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียนเป็นไปในเป้าหมายของการอ้างสิทธิ์ในการใช้พลังงานหมุนเวียน หรือ สนับสนุนให้เกิดการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ซึ่งหากพิจารณาจากการคำนวนคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร จะจัดอยู่ใน SCOPE II: การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากการใช้พลังงาน (Energy Indirect Emissions) โดยจำนวน RECs ที่ซื้อมานั้นจะเป็นการลดข้อมูลกิจกรรม (Activity Data) ในแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการใช้พลังงานไฟฟ้าเท่านั้น และสามารถอ้างสิทธิ์ในการใช้พลังงานหมุนเวียน ทดแทนการใช้ไฟฟ้าจากสายส่ง (Conventional Grid) เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการเป็นองค์การที่ใช้พลังงานหมุนเวียนทั้งหมด หรือ RE100 ได้
.
ดังนั้น จะเห็นได้ว่าแม้ว่าการใช้คาร์บอนเครดิต และ ใบรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียนจะเป็นทางเลือกในการลดก๊าซเรือนกระจก หรือ ลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ในองค์กร และช่วยให้องค์กรสามารถไปสู่เป้าหมายด้านการบริหาร แต่กลไกการทำงานกลับแตกต่างกัน และการใช้งานก็แตกต่างกันไปตามเป้าหมายและวัตถุประสงค์ที่องค์กรได้เลือกวิธีการตั้งเป้าหมายไว้
.
บทความที่เขียนนี้จะเป็นหลักการใช้งานทั่วไป ไม่ได้เฉพาะเจาะจงถึงหลักเกณฑ์การขึ้นทะเบียน CFO และการรับรองกิจกรรมชดเชยคาร์บอนของ อบก. เพราะปัจจุบัน (มิถุนายน 2566) ในแนวทางการรับรองของ อบก. ยังไม่อนุญาตให้ใช้ REC ในการชดเชยได้ แต่หากเป็นมาตราฐานอื่น เช่น Science Based Target (SBT) การตั้งเป้าลด Scope 2 สามารถใช้ REC ได้
.
ประเด็นสำคัญในเรื่องความแตกต่างของกลไกทั้งสอง รวมถึงหนทางในการมุ่งสู้เป้าหมายที่แตกต่างกันนั้น การหลีกเลี่ยงการนับซ้ำเป็นสิ่งจำเป็น ทั้งในขั้นตอนการนำไปใช้และการพัฒนาโครงการ T-VER ซึ่งทาง TGO ได้ออกหลักเกณฑ์การป้องกันการนับซ้ำจากการขอรับรองใบรับรองสิทธิในการเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (REC) โดยกรณีโครงการที่เป็นการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน และมีการขอรับรองใบรับรองสิทธิในการเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (REC) จะไม่สามารถขอรับรองคาร์บอนเครดิตในช่วงระยะเวลาคิดเครดิตเดียวกันกับที่มีการขอใบรับรอง REC ได้ ซึ่ง TGO กับ กฟผ. ที่รับผิดชอบการออก REC จะมีการประสานงานใกล้ชิดและตรวจสอบข้อมูลช่วงระยะเวลาของการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน ท้ายที่สุดนี้ ผู้ใช้งานต้องมีความเข้าใจที่ชัดเจนในวิธีการทำงานของกลไก รวมถึงเลือกใช้งานตามเป้าหมาย หรือ บริบทขององค์กร